ประวัติ ของ อนินทิตา อาขุบุตร

ประวัติตอนต้น

คุณหญิง อนินทิตา อาขุบุตร เกิดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2448 เดิมมีชื่อจริงว่า เสงี่ยม นาวีเสถียร เป็นบุตรคนที่สองของเสวกโท พระยานาวีวราสา (ยืน นาวีเสถียร) กับคุณหญิง แดง นาวีเสถียร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 7 คน ในวัยเด็กได้เข้าศึกษากับครู ชื่อนายเปลี่ยนและนายนาก ซึ่งเป็นน้า ต่อมาบิดาจึงฝากตัวเธอเรียนรำละครกับพระนมทัต พึ่งบุญ ณ อยุธยา จากนั้นจึงเข้าไปอยู่ในวังและฝึกรำละครกับท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา)[2]

ในปี พ.ศ. 2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งละครหลวงฝ่ายหญิงขึ้นในราชสำนัก และทรงพระกรุณาให้บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นำธิดาของตนมาถวายตัวเข้าอยุ่ในสังกัดละครหลวงดังกล่าว ในเวลานั้นพระยานาวีเสถียรวราสา จึงได้นำนางสาวเสงี่ยมไปเฝ้าฯ ถวายตัวอยู่ในละครหลวง และได้รับเงินเดือนพระราชทาน เดือนละ 6 บาท, 8 บาท และ 15 บาท ตามลำดับ[2]

การแสดงภาพยนตร์

คู่กับขุนรามภรตศาสตร์ (ยม มงคลนัฏ)

ในระหว่างนั้นเสงี่ยม นักแสดงหญิงคนแรกของไทยที่ได้รับการคัดเลือกให้แสดงภาพยนตร์ เรื่อง นางสาวสุวรรณ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกของไทย อำนวยการสร้าง เขียนบท และกำกับโดยนายเฮนรี แมคเร ชาวสหรัฐอเมริกา เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย โดยได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวง และกรมมหรสพหลวงอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำ โดยภาพยนตร์เข้าฉายที่สหรัฐอเมริกาก่อนแล้วหลังจากนั้นจึงเข้าฉายในประเทศไทย แต่เมื่อฉายไปได้ 3 วันฟิลม์ก็ได้สูญหายไป

ในบท นางสาวสุวรรณ

จนในปี พ.ศ. 2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเสงี่ยมเป็นที่นางพระกำนัล และได้รับพระราชทานนามใหม่จาก เสงี่ยม เป็น อนินทิตา และอนินทิตาก็สนองพระเดชพระคุณต่อจนสิ้นรัชกาล[2]

หลังการสวรรคตของรัชกาลที่ 6 นางสาวอนินทิตาได้เป็นหนึ่งในพระพี่เลี้ยงที่ทำหน้าที่ในการอภิบาลสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว[3] และนางสาวอนินทิตายังได้รับพระราชทานเงินเลี้ยงชีพตามที่มีรายชื่ออยู่ในพระราชพินัยกรรมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เดือนละ 120 บาท ตลอดมา จนกระทั่งออกจากวังเพื่อทำการสมรสกับ พลตำรวจตรี เนื่อง อาขุบุตร เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 จึงได้งดจ่ายเงินดังกล่าว[2]